วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

พระประจำวันเกิด

พระประจำวันเกิด

๑. พระอาทิตย์ 
พระบูชาวันเกิด
คนเกิดวันอาทิตย์ ควรมีพระพุทธรูปปางถวาย พระเนตรบูชา จึงจะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองดี
๒. พระจันทร์
พระบูชาวันเกิด
คนเกิดวันจันทร์ควรมีพระพุทธรูปปางประทานอภัย (ห้ามสมุทร) บูชาจึงจะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองดี
๓. พระอังคาร
พระบูชาวันเกิด
คนเกิดวันอังคารควรมีพระพุทธรูปปางทรงไสยา หรือ พระไสยาสน์ (บางคนที่ถือโชคลาง จัดเห็นพระพุทธไสยาสน์เป็นท่านิพพาน เลยเปลี่ยนใช้พระพุทธรูปท่าพระคันธารราฐแทนก็มี) บูชา จึงจะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองดี
๔. พระพุธ
พระบูชาวันเกิด
คนเกิดวันพุธ กลางวัน ควรมีพระพุทธรูปปางทรงโปรดเวไนย์(อุ้มบาตร) บูชาจึงจะมีความสุขความเจริญ
๕. พระพฤหัสบดี
 บูชาพระวันเกิด
คนใดเกิดวีนพระพฤหัสบดี ควรมีพระพุทธรูปปางทรงประทับนั่งสมาธิ (โพธิบัลลังก์) บูชาจึงจะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองดี
๖. พระศุกร์
บูชาพระวันเกิด
คนใดเกิดในวันศุกร์ ควรมีพระพุทธรูปปางทรงพระรำลักถึงพระธรรม (พระรำพึง) บูชา จะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองดีขึ้น
๗. พระเสาร์
บูชาพระวันเกิด
คนเกิดวันเสาร์ ควรจะมีพระพุทธรูปปางพระนาคปรกบูชา จึงจะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองดี
๘. พระราหู
พระบูชาวันเกิด
คนที่เกิดวันพุธกลางคืน
ควรมีพระพุทธรูปปางเสด็จประทับในป่าปาริเลยยถะ (ป่าเลไลย์) บูชา จึงจะมีความสุขความรุ่งเรืองดี

พระเคราะห์คู่ (ภพชาติเวร)

พระเคราะห์คู่ (ภพชาติเวร)

พระเคราะห์คู่ตามตำนานชาติเวร
โบราณนานมาแล้ว โหราจารย์ในอดีตท่านได้ผูกเรื่องประวัติชาติเวรกำเนิดเอาไว้หลายเรื่อง ทั้งเป็นบุคลาธิษฐานหรือเป็นเทวนิยาย เพื่อให้ศึกษาท่องจำได้แม่นยำ
ดังนั้นการศึกษาวิชาโหราศาสตร์ไทยให้ได้ผลนั้นยังคงต้องท่องจำความเป็นคู่มิตร คู่ศัตรูแห่งดวงดาวได้ด้วย จึงจะทำนายทายทักได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะการอ่านและเล่าเรียนเรื่องเกี่ยวกับชาติเวรกำเนิดแห่งดวงดาว
๑. พระอาทิตย์
ตามตำนานโหราศาสตร์กล่าวไว้ว่า พระอิศวรเป็นเจ้าได้สร้างพระอาทิตย์ขึ้น ต้องเอาราชสีห์ ๖ ตัวมาเป่าลง แล้วห่อด้วยผ้าสีแดง (Red Rose) พรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเป็นองค์พระสุริยะทิพย์เทพยาทินกรขึ้น มีกายเป็นสีแดงทรงเครื่องทิพย์อาภรณ์พรายแพรวด้วยแก้วปัทมราช และวิมานสีแดง ทรงบนหลังราชไกรสร (ราชสีห์) เป็นพาหนะ สถิตอยู่ในอิสานทิศ
เรื่องที่ ๑ อาจารย์ทิศาปาโมกข์ กับบริวาร
ตำนานมีว่า
ในกาลครั้งหนึ่ง พระพฤหัสบดีเกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ พระอาทิตย์เกิดเป็นมาณพไปเรียนวิชาศิลปะศาสตร์ในสำนักพระพฤหัสบดี อาจารย์ยกนางจันทร์ให้เป็นภรรยา พระอาทิตย์มีความพอใจรักใคร่นางมาก จึงเอานางใส่ตลับทองคำเก็บไว้ในเวลาเข้าป่าหาผลไม้ พระอังคารเกิดเป็นพิทยาธรเข้าไปสมจรด้วยนางจันทร์ในตลับนั้น พระพฤหัสบดีรู้เห็นเหตุการณ์นั้นโดยตลอด จึงทำเป็นปริศนาไว้รอท่าพระอาทิตย์เพื่อบอกเหตุการณ์ ครั้นพระอาทิตย์กลับมาจากป่า เข้าไปหาพระพฤหัสตามปกติ แลเห็นเชี่ยนหมากตั้งแยกกันออกเป็น ๓ ที่ซึ่งทุกทีเคยมีตั้งเพียง ๒ ที่เท่านั้น ก็เกิดความสงสัยจังถามพระอาจารย์ไปตามได้เห็นผิดสังเกต ทุกวันมาพระอาจารย์เคยตั้งเพียง ๒ ที่ มาวันนี้ไฉนจึงตั้งเป็น ๓ พระอาจารย์จึงแจ้งว่า ถ้าเธอใคร่จะรู้ว่าปริศนานั้นมีความหมายกระไร ก็จงไปเปิดตลับดูก่อนเถิด เมื่อพระอาทิตย์เปิดตลับดู ก็เห็นพระอังคาร ก็มีความโกรธแค้นมาก จึงยกพระขรรค์ขึ้นจะฟัน พิทยาธรพระอังคาร ก็จรเหาะขึ้นไปบนอากาศ แล้วกลับเอาพระขันธ์ฟันถูกศีรษะพระอาทิตย์แยก พระอาทิตย์จึงขว้างด้วยจักรไปต้องพิทพยาธรขาขาด ฯลฯ
ตำนานเรื่องนี้ เป็นเค้ามูลบ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างดาวพระเคราะห์ที่ว่า
พระอาทิตย์ (๑) กับพระพฤหัสบดี (๕) เป็นมิตรกัน
พระอาทิตย์ (๑) กับพระอังคาร (๓) เป็นศัตรูกัน
พระจันทร์ (๒) กับพระพฤหัสบดี (๕) เป็นศัตรูกัน (เป็นคู่ธาตุด้วย)
ในการพยากรณ์จร มีข้อสังเกตดังนี้
พระอาทิตย์ (๑) จรมาต้องพระพฤหัสบดี (๕) ว่าจะได้มิตรมาช่วยอุปถัมภ์ค้ำชู มิตรนั้นมักมีความรู้ความสามารถดี มียศศักดิ์
พระพฤหัสบดี (๕) จรมาต้องพระอาทิตย์ (๑) ว่าจะได้ลาภเพราะมิตรหรือท่านผู้ใหญ่ จะได้คู่ครอง การศึกษาการทำงานสำเร็จผลดี
พระอาทิตย์ (๑) จรมาต้องพระอังคาร (๓) ว่าจะเกิดวิวาทด้วยเรื่องชู้สาว ได้รับบาดเจ็บ เจ็บขาเจ็บเท้า ตกจากที่สูง
พระอังคาร (๓) จรมาต้อง พระอาทิตย์ (๑) ว่าจะปวดเศีรยเวียนเกล้า ศีรษะได้รับบาดเจ็บ เกิดวิวาทด้วยเรื่องชู้สาว เดือดร้อนเพราะคู่ครอง
พระจันทร์ (๒) จรมาต้องพระพฤหัสบดี (๕) ว่าจะมีเรื่องให้เจ็บอกเจ็บใจจากบริวารคนรอบข้าง จะเกิดความเพราะปากของตน มีเรื่องชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้อง มิตรสหายเก่าจะนำโชคลาภมาให้
พระพฤหัสบดี (๕) จรมาต้องพระจันทร์ (๒) ว่าจะเกิดเหตุแห่งความรักใคร่เสื่อมเสียชื่อเสียง มีเรื่องเคืองแค้นใจ จะมีโชคลาภ มีชัยชนะต่อศัตรู
พระจันทร์ (๒) จรมาต้องพระอังคาร (๓) ว่าจะเกิดความหลงผิด เกิดการแย่งชิงเดือดร้อนเพราะเพศตรงข้าม
พระอังคาร (๓) จรมาต้องพระจันทร์ (๒) ว่าจะพลัดพรากจากของรัก เกิดความหึงหวง มีเรื่องชู้สาว ผิดผัวผิดเมีย คนดูหมิ่นนินทา
พระอังคาร (๓) จรมาต้องพระพฤหัสบดี (๕) ว่าจะต้องเกิดความขัดแย้งยุ่งยากลำบากใจด้วยเหตุจากผู้อื่น ต้องเหน็ดเหนื่อยต่อสู้มาก กว่าจะได้รับความสำเร็จมีโชคลาภ
พระพฤหัสบดี (๕)จรมาต้องพระอังคาร (๓)
เรื่องที่ ๒ วานรกับนายพราน
ในกาลครั้งหนึ่งพระอาทิตย์เกิดเป็นวานร พระอังคารเกิดเป็นพราน เมื่อโคทองของนายพรานหาย ก็เที่ยวตามหาในป่า ครั้นไปพบวานรอยู่บนต้นไม้ก็หมายจะเอาเป็นอาหาร จึงได้เอาก้อนดินขว้างขึ้นไปถูกศีรษะวานรแตก ฯลฯ
ตามหลักการพยากรณ์
การที่ตัวของพระอาทิตย์ ได้ถูกสร้างขั้นด้วยราชไกรสรนั้น จึงมีนิสัยดุร้ายเหมือนกับราชสีห์
กล่าวกันว่า ราชสีห์มีนิสัยดุร้าย รักยศ รักความสวยงาม เจ้าชู้ ถือตัว ปัญญาไว ไหวพริบดี เฉียบขาด โอบอ้อมอารี ใจคอกว้างขวาง กล้าได้กล้าเสีย ชอบความอิสระ มีมานะ ไม่ง้องอนใคร แต่มักเป็นกำพร้า ทั้งพระอาทิตย์เป็นเขยพระพฤหัสบดี ซึ่งเป็นสามีนางจันทร์ เป็นศัตรูกับพระอังคาร (ดังตำนานกล่าวมาแล้ว) ข้อสังเกต ที่กล่าวถึงอุปนิสัยนี้ ก็เพราะธาตุไฟเป็นหลัก และมีสีแดง คือ สีของไฟประลัยกัลป์ นั้นเอง
ตำรากล่าวไว้ว่า ดวงอาทิตย์เป็นดวงดาวสำคัญ ควรเปรียบเหมือนพระราชา ดาวดวงอื่นเปรียบเหมือนบริวาร (ตามหลักวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และ ดาราศาสตร์) โดยบริวารเหล่านั้น ต้องได้รับอำนาจจากพระอาทิตย์ จึงเป็นดาวบาปเคราะห์
การใช้สีผ้าแต่งตัว
แต่งตัวปัดธำมะราชนั้นระวี จรูญจรัสรัตนมณีแจ่มจ้า แสงจับรับพรรณฉวีแดง (Red Rose) เปล่ง สวมสร้อยสนิทผ้า แต่พื้น พรรณแดง
พระบูชาวันเกิด
คนเกิดวันอาทิตย์ ควรมีพระพุทธรูปปางถวาย พระเนตรบูชา จึงจะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองดี
๒. พระจันทร์
ตำนานโหราศาสตร์กล่าวว่า พระอิศวรผู้เป็นเจ้าสร้างพระจันทร์ จากนางฟ้า ๑๕ องค์ โดยร่ายเวทย์ให้นางฟ้าทั้ง ๑๕ องค์ให้ละเอียดลง แล้วหุ้มห่อด้วยผ้าสีเหลืองอ่อน (Light Yellow) แล้วประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเป็นพระจันทร์เทพบุตรขึ้น มีกายสีนวล ทรงเครื่องทิพย์อาภรณ์แก้วประมวลนิวัตร และวิมานแก้วสีมุกดา ทรงอัศวราช(ม้า) เป็นพาหนะ สถิตในบูรพาทิศ
เรื่องที่ ๑ เศรษฐีกับคนข็ญใจ
ตำนานกล่าวว่า
ก.ในกาลครั้งหนึ่ง พระจันทร์เกิดเป็นคนเข็ญใจ จึงไปขอกู้เงินพระราหู ซึ่งเกิดเป็นคฤหบดีมาทำทุน ครั้นนานเข้า พระราหู คฤหบดี ก็ไปทวงเงินจากพระจันทร์ผู้ยากจน พระจันทร์ยังไม่มีเงินใช้หนี้ จึงได้หลบหนีซ่อนตัวอยู่เสียที่อื่น พระเสาร์เกิดเป็นพ่อค้าเป็นสหายของพระราหู คฤหบดีเดินทางไปค้าขายในที่ต่างๆ เผอิญไปพบที่อยู่ของพระจันทร์เข้า จึงนำความไปบอกพระราหูผู้เป็นสหาย พระราหูจึงไปตามจับพระจันทร์โดยการยื้อยุดฉุดคร่าทำร้ายร่างกายเพื่อจะนำกลับไปเป็นทาสในเรือนตน พระพุธซึ่งเกิดเป็นสุนัขเห็นเหตุการณ์เข้า ก็เกิดความสงสารพระจันทร์ จึงโดดเข้าไปกัดพระราหูอย่างดุเดือด พระจันทร์ได้ทีก็หลบหนีรอดพ้นไปได้ ฯลฯ
ตำนานเรื่องนี้ เป็นเค้ามูลบ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างดาวพระเคราะห์ที่ว่า
พระจันทร์ (๒) กับพระราหู (๘) เป็นศัตรูกัน เป็นคู่สมพลด้วย
พระจันทร์ (๒) กับพระเสาร์ (๗) เป็นศัตรูกัน โดยทางอ้อม
พระพุธ (๔) กับพระราหู (๘) เป็นศัตรูกัน
พระจันทร์ (๒) กับพระพุธ (๔) เป็นมิตรกัน
พระเสาร์ (๗) กับพระราหู (๘) เป็นมิตรกัน
ในการพยากรณ์จร มีข้อสังเกตดังนี้
พระจันทร์ (๒) จรมาต้องพระราหู (๘) ว่าจะได้โชคลาภเรื่องเงินหมุนเวียนการกู้ยืม แต่เป็นโชคชั่วคราว ต้องยุ่งยากภายหลัง
พระราหู (๘) จรมาต้องพระจันทร์ (๒) ว่าคนมักจะเอื้อเอ็นดูช่วยเหลือ แต่ก็มักมีเหตุให้ใช้จ่ายสิ้นเปลือง การหมุนเวียนเงินทองติดขัด เกิดหนี้สิน ถูกดูหมิ่นนินทาทำให้เสียชื่อเสียง เดือดเนื้อร้อนใจ
พระจันทร์ (๒) จรมาต้องพระเสาร์ (๗) ว่าจะเกิดการวิวาทบาดหมาง ถูกปองร้าย ทรัพย์สินสูญหาย มีเรื่องให้ต้องยุ่งยากเดือดร้อน
พระเสาร์ (๗) จรมาต้องพระจันทร์ (๒) ว่าความลับของตนจะถูกเปิดเผย ถูกคนดูหมิ่น ต้องถ้อยคดีความ เกิดการพลัดพรากสูญเสีย
พระพุธ (๔) จรมาต้องพระราหู (๘) ว่าจะถูกศัตรูทำร้ายได้รับบาดเจ็บด้วยเขี้ยวงา พร้ามีด ของมีคม เลือดจะตกจากตน
พระราหู (๘) จรมาต้องพระพุธ (๔) ว่าจะเกิดความยุ่งยากลำบากใจ ก่อศัตรูถูกมุ่งร้ายชิงชัง เจ็บไข้ได้ป่วย
พระจันทร์ (๒) จรมาต้องพระพุธ (๔) ว่าจะได้มิตรสหายที่ดี มีชัยชนะในการต่อสู้แข่งขัน ได้รับความสำเร็จในสิ่งที่มุ่งหวัง
พระพุธ (๔) จรมาต้องพระจันทร์ (๒) ว่าจะได้พบมิตรที่ดี มีคนคุ้มครอง ช่วยเหลือ เกิดโชคลาภ
พระเสาร์ (๗) จรมาต้องพระราหู (๘) ว่าจะได้พบมิตรที่ดีมีใจกรุณา จะมีโชคลาภแบบเสี่ยงๆ ชนิดได้มากได้เร็ว หมดมากหมดเร็ว
พระราหู (๘) จรมาต้องพระเสาร์ (๗) ว่าจะได้พบมิตรสหายที่ใจใหญ่ใจถึงถูกใจกัน แล้วจะพากันสุ่มเสี่ยงหลงผิดเกิดความยุ่งยากภายหลัง
ครั้งหนึ่งในอดีตกาล เศรษฐีหัสวิไสยมีบุตร ๓ คน ครั้นเมื่อถึงกาลมีภรรยาแล้ว บุตรทั้ง๓ คนได้นิมนต์พระมาทำบุญ ครั้งถึงเวลาตักบาตร พี่ชายใหญ่ได้ ขันทองคำ คนรองได้ขันเงิน ส่วนน้องคนสุดท้องไม่มีขันใส่บาตร จึงได้เอากระทายที่ทำด้วยไม้มาเป็นภาชนะ พี่ชายใหญ่ อธิษฐานขอเป็นพระอาทิตย์ส่องโลกกลางวัน ส่วนคนรองขอเป็นพระจันทร์ส่องโลกกลางคืน น้องคนสุดท้องได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงอธิษฐานขอไปเป็นพี่ชายใหญ่ของพระอาทิตย์ และพระจันทร์ ครั้นถึงกาลมรณะแล้ว คนทั้งสองก็ได้ไปเกิดตามความปรารถนาทุกคน น้องชายคนเล็กนั้นได้เกิดเป็นพระราหู จึงเมื่อพระราหูมาพบพระอาทิตย์ก็เกิดเป็นสุริยุปราคา เมื่อราหูมาเยี่ยมจันทร์ก็เกิดจันทรุปราคา ฯลฯ
ตามหลักพยากรณ์
เมื่อพระจันทร์ถูกสร้างตัวขึ้น ด้วยนางฟ้า ๑๕ องค์จึงมีลักษณะเป็นสตรี มีรูปร่างงดงาม น่ารัก น่าเอ็นดู มีนิสัยอ่อนโยนละมุนละไม เปลี่ยนใจง่าย ขี้หึง แสนงอน ตื่นตกใจง่าย แต่เมื่อถึงคราวกล้า ก็กล้าอย่างน่าพิศวง ช่างประดิษฐ์ ชอบอ่านหนังสือ และรักโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน รักความงาม ศิลปะ ร่าเริง เพลิงพิศวาสแรงเร้า เจ้าเสน่ห์
ตามตำราโหราศาสตร์กล่าวว่า เมื่อผู้ใดลักขณากุมจันทร์ มักจะพยากรณ์ว่า รูปงามใจบุญ อุดมด้วยยศ ทรัพย์สมบัติ
ตามตำราจักรทีปนี คือ ว่าลักขณาปฏิสนธิมีคุณประเสริฐอำนาจอิทธิพลในตัว สามารถช่วยเหลือแล้ คุ้มภัยอันตรายได้
ตำรายังกล่าวว่า เป็นผู้ชอบพอรักใคร่กับพุธ พุธต้องจันทร์ จันทร์ต้องพุธในดวงชาตาแล้ว ดีมาก พระจันทร์เล่าก็เป็นภรรยาของอาทิตย์ แต่ก็ไม่ถูกกับอาทิตย์ เพราะพระจันทร์ทำความชั่วที่เป็นเจ้าชู้กับอังคาร
ดังนั้น ถ้าจันทร์กับอังคารร่วมราศีกันเพียง ๒ ดวงมักทำให้เป็นคนเจ้าชู้ มีเสน่ห์ พอใจแต่ในด้านกามารมณ์และมั่วสุมอยู่กับเพลิงสวาท และพระจันทร์นี้เป็นลูกสาวพระพฤหัส แต่ก็ไม่ถูกกับพระพฤหัส เพราะพระพฤหัสบดีเป็นผู้อยู่ในศีลธรรม คอยเข้าข้างพระอาทิตย์ซึ่งเป็นเขยของตน ที่บอกกับพระอาทิตย์เรื่องจันทร์มีชู้ ด้วยเหตุนี้ พระจันทร์จึงไม่ถูกกับพระพฤหัส ถ้าพระพฤหัสบดี ต้องกับพระจันทร์ หรือพระจันทร์ต้องกับพระพฤหัสบดี มักถูก ตำหนิติเตียนไปในทางไม่ดีไม่งาม จันทร์เกลียดมากก็คือพระราหู เพราะพระราหูรูปไม่งาม และราหูเคยเป็นนายทุนหน้าเลือดของพระจันทร์ ราหูชอบเย้าหยอกจันทร์ ถ้าราหูทับจันทร์ มักเป็นอันตรายแก่เจ้าชาตา จันทร์เป็นดาวศุภเคราะห์
การใช้สีเครื่องแต่งกาย
จันทร์แปลงนุ่งห่ม โขมพัสตร์
แต่งเครื่องสีขาวเหลือง(Light Yellow)จรัส เลื่อมแพร้ว
มุกดาสภาวรัตน์ เยียรดับ
แปลงเปลี่ยนโอบอแก้ว กอบรุ่ง เรือนชู
พระบูชาวันเกิด
คนเกิดวันจันทร์ควรมีพระพุทธรูปปางประทานอภัย (ห้ามสมุทร) บูชาจึงจะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองดี
๓. พระอังคาร
ตำนานโหราศาสตร์กล่าวไว้ว่า พระอิศวรผู้เป็นเจ้าสร้างพระอังคารขึ้นด้วยมหิงษา (กระบือ) ๘ ตัว ทรงร่ายพระเวทให้ละเอียดลง แล้วห่อด้วยผ้าสีแดงอ่อน ๆ (Cumson Lake) ของแก้วเพทาย แล้วพรมด้วยน้ำอมฤต ก็เกิดเป็นองค์พระอังคารเทพเรืองฤทธิ์ขึ้น มีกายเป็นสีแก้วเพทาย ทรงรัตนโกเมนเป็นอาภรณ์ และมีสีวิมานเป็นทับทิม ทรงราชเกษร (ถวาย) ในหนังสือโลกธาตุว่า ทรงขรราช (ลา) เป็นพาหนะสถิตในอาคเนย์ทิศ
เรื่องที่ ๑ ราชสีห์กับนกกระไน
ตำนานกล่าวว่า
ในอดีตกาลครั้งหนึ่ง พระอังคาร เกิดเป็นพระยาราชสีห์ กินเนื้อสัตว์กระดูกไปติดขวางคออยู่ ครั้งนั้น พระอาทิตย์เกิดเป็นนกกระไน พระยาราชสีห์ขอความช่วยเหลือ นกกระไนก็เจาะคอพระยาราชสีห์ จนทะลุเหวอะหวะเอากระดูกออกมา
ตำนานเรื่องนี้ เป็นเค้ามูลบ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างดาวพระเคราะห์ที่ว่า
พระอาทิตย์ (๑) กับพระอังคาร (๓) เป็นศัตรูกัน
ในการพยากรณ์จร มีข้อสังเกตดังนี้
พระอาทิตย์ (๑) จรมาต้องพระอังคาร (๓) ว่าจะมีเรื่องทำให้เกิดการวู่วาม ฉุนเฉียว ทะเลาะวิวาท เดือดร้อนเสียหาย พบอุบัติเหตุ
พระอังคาร (๓) จรมาต้องพระอาทิตย์ (๑) ว่าจะเป็นไข้ ปวดศีรษะ ศีรษะแตก มีเหตุให้ต้องหวาดเสียว ตกใจ เกิดอุบัติเหตุ ผ่าตัด
ตามหลักพยากรณ์
ดาวพระอังคาร เป็นดาวบาปเคราะห์ชนิดร้ายแรง สร้างตัวด้วยกระบือ ดังนั้น นิสัยและความรู้ของพระอังคารจึงเหมือนกระบือ (ควาย) มีปัญญาโง่ทึบ อาศัยไดแต่กำลังกาย ฉะนั้นคนวันอังคารจังมักเป็นคนใจแข็ง ใจร้อน โมโหง่าย ใจเร็ว ใจง่าย ใจน้อย โกรธง่าย เข้มแข็ง ฉุนเฉียว มุทะลุ ตึงตัง ทำงานชอบเร็ว แต่เร็วแค่แรกเริ่ม ได้ ทำราชการมักเจริญดีเมื่อตอนต้น ผลสุดท้ายทรุดโทรม ทำลายตัวเอง นิสัยเจ้าชู้ กามราคะร้ายแรง เจ้าชาตามักได้รับความลำบากในทางกามารมณ์ ตามวิสัย มีนิสัยถูกต้อง ชอบพอกับพระศุกร์ เพราะเป็นมิตรกัน นอกนั้นไม่ถูกกับใคร เป็นชู้รักกับพระจันทร์ถ้าถูกพระพฤหัสบดี เสาร์ อาทิตย์ และ ราหูแล้วมักจะให้โทษ แต่ถ้าถูกลัคนา แม้จะเป็นศรีจรมาก็ไว้ใจยากได้เคยพบมาแล้ว ถ้าพูดถึงความกล้าหาญอดทนแล้ว ไม่แพ้ใครง่าย ๆ ไม่เกรงกลัวใคร ชอบตีรันฟันแทง ฆ่ายิง มักวางโต โง่แกมหยิ่ง อยากเป็นนายคน แต่ทำตนไม่สมกับตำแหน่ง ทำไปไม่เท่าไร ก็มักทอดทิ้งกลางคัน อังคารนี้คล้ายกับจันทร์ โกรธง่าย ใจน้อย พรวดพราด แต่ถ้าจรมาต้องกับจันทร์ หรือ จันทร์ต้องกับอังคารก็ดี มักตกใจเสมอ ดาวดวงนี้ ประมาทไม่ได้ เพราะเป็น “เจ้าแห่งสงคราม” นิสัยกล้าหาญอดทน เป็นทหารดี แต่มีโทษะจริตเป็นเจ้าเรือนประจำ
การใช้สีเครื่องแต่งกาย
ชมพู (Pink) พรรณฉัตร ใช้อังคารจรัสมณี รัตนประพาษเผือดคล้ำ สารสรรพอลังการงามแผ่ผาดพิศ พิจิตรล้ำเล่ห์เพี้ยงงอัปสร
พระบูชาวันเกิด
คนเกิดวันอังคารควรมีพระพุทธรูปปางทรงไสยา หรือ พระไสยาสน์ (บางคนที่ถือโชคลาง จัดเห็นพระพุทธไสยาสน์เป็นท่านิพพาน เลยเปลี่ยนใช้พระพุทธรูปท่าพระคันธารราฐแทนก็มี) บูชา จึงจะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองดี
๔. พระพุธ
พระอิศวรผู้เป็นเจ้า ได้สร้างพระพุธขึ้นด้วยพญาคชสาร ๑๗ ตัว โดยเอามาป่นลง แล้วห่อด้วยผ้าสีเขียวใบไม้ (Green) ประพรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นองค์พระพุธเทพเทวา สีกายเป็นสีแก้วมรกต และมีวิมานเป็นสีมณี ทรงคชคเชนทร(ช้าง) เป็นพาหนะ สถิตอยู่ในทักษิณทิศ
เรื่องที่ ๑ นายพรารโสณอุดรกับพญาช้างฉัททันต์
ตำนานกล่าวว่า
กล่าวว่า กาลครั้งหนึ่ง พระพุธเกิดเป็นพญาฉัททันต์ พระอังคารเกิดเป็นนายพรานชื่อโสณอุดร นายพรานรับปากจนำงาช้างไปขายให้เศรษฐี เนื่องด้วยเกรงอันตรายจะเกิดแก่ตนจึงได้ขุดอุโมงค์ลงไปกำบังตัวลอบยิงพญาช้างที่ถูกที่ท้องล้มลงและเลื่อยเอางาพญาฉัททันต์ไปได้ พญาช้างได้รับความเจ็บปวดอย่างสุดแสนสาหัสจนถึงแก่ความตาย
ตำนานเรื่องนี้ เป็นเค้ามูลบ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างดาวพระเคราะห์ที่ว่า
พระอังคาร (๓) กับพระพุธ (๔) เป็นศัตรูกัน
ในการพยากรณ์จร มีข้อสังเกตดังนี้
พระอังคาร (๓) จรมาต้องพระพุธ (๔) ว่าศัตรูจะปองร้ายได้รับบาดเจ็บ เจ็บท้อง ปวดท้อง ปวดฟัน ปวดกระดูก
พระพุธ (๔) จรมาต้องพระอังคาร (๓) ว่าจะต้องเสี่ยงภัยอันตราย หน้าที่การมีอุปสรรค ผลประโยชน์ขัดกัน ให้ระวังคำพูดแห่งคนจะนำความเดือดร้อนมาให้
ตามหลักพยากรณ์
พระพุธสร้างกายขึ้นด้วยช้าง จึงมีนิสัยสุภาพอ่อนโยน กริยามรรยาทเรียบร้อย วาจาไพเราะอ่อนหวาน มรรยาทสวยงามน่าเอ็นดู เป็นดาวที่มีวุฒิสูง ฉลาดในเชิงพูด มีลิ้นเป็นนักการพูด เป็น ”เจ้าแห่งวาทะศิลป” มีความคิดละเอียดสุขุม แต่ค่อนข้างจะเอาเปรียบอยู่สักหน่อย มีความละโมบ และมักใหญ่ใฝ่สูง ตกใจง่าย เปลี่ยนความคิดรวดเร็ว ดีในเชิงค้าขาย นายหน้าและผู้แทนในการพูดจา ถ้าพุธไม่ดียังเป็นกาลกิณีนำหน้าลักขณาเลยเป็นคนปากคอเราะราญด่าคนง่าย วาจาไม่หวานหู ชอบไปในทางร้องรำทำเพลง การประพันธ์ เต้นรำ แสดงการละครภาพยนตร์ และนาฏศิลปะประเภทต่างๆ ตามประเพณีของบ้านเมืองและสถานที่อยู่ เป็นมิตรกับพระจันทร์เพราะนิสัยถูกกัน ดาวทุกดวงสังเกตดูเกรงใจพุธ ถึงจะให้โทษก็ไม่ร้ายแรง ถึงพุธไปถูกดวงอื่นก็ไม่สู้จะร้อนแรงนัก ถ้าเดินไปร่วมกับอาทิตย์อ่อนแอลง พุธกลับแรงขึ้น ทั้งนี้เพราะพุธมีนิสัยเยือกเย็นมาก เลยทำดวงดาวอื่น ๆ อ่อนโยนตามกันไปด้วย เช่น พุธอยู่ในธาตุน้ำได้อาทิตย์มาต้อง หรืออาทิตย์จรอยู่ในน้ำ พุธมาต้องก็ทำให้อากาศเยือกเย็น บางทีก็มีฝนตก ต้องได้อำนาจพุธมาแก้อาทิตย์ และทัดทานดาวดวงอื่น ๆ เป็นการดีมาก เป็นที่ตั้งแห่งสติ ถ้าพุธอยู่ในที่เสีย เจ้าชาตา มักจะบังคับสติไม่ได้ แต่ถ้าพุธยังดีอยู่แล้ว สติก็ยึดมั่นดีมาก อาจคุ้มภัยให้แก่พวกพ้องวงวารได้ด้วย พุธเป็นดาวศุภเคราะห์
การใช้สีเครื่องแต่งกาย
พัตราภรณ์พุธพื้นเขียว (Green) สรรพสิ่งแฮ ขจีจรัสรัตน์หิรัญเลื่อมแพร้ว มรกตสดสีบรรเจิด เพริดพราย เฮยช้าช้อน อาภรณ์แผ้วเพ่งเพี้ยงพวงตา
พระบูชาวันเกิด
คนเกิดวันพุธ กลางวัน ควรมีพระพุทธรูปปางทรงโปรดเวไนย์(อุ้มบาตร) บูชาจึงจะมีความสุขความเจริญ
๕. พระพฤหัสบดี
พระอิศวรผู้เป็นเจ้า สร้างขึ้นจากฤๅษี ๑๙ ตน คือ ทรงร่ายเวทให้กายฤๅษี ๑๙ ตนนั้นละเอียดลง แล้วเอาผ้าสีแสด (Bright Red, Orange) ห่อผงนั้น ประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกดเป็นองค์พระพฤหัสบดีขึ้นมา มีสีกายเป็นสีแก้วไพฑูรย์ ทรงทิพยอาภรณ์ สุวรรณรัตนรูจี แจ่มด้วยมุกดาหาร และมีวิมานเป็นสีบุษรากับทรงมฤคราช (กวางทอง) ในอธิไทยโพธิบาทว์ กล่าวว่าทรงมณฑก (กบ) พระพฤหัสบดี มีมณฑกนั้นเป็นพาหนะสถิตใน ปัจฉิมทิศ
เรื่องที่ ๑ เหยี่ยวกับนกอีลุ้ม
ตำนานกล่าวว่า
กาลครั้งหนึ่ง พระพฤหัสบดีเกิดเป็นนกอีลุ้ม พระจันทร์เกิดเป็นเหยี่ยว บินมาจับนกอีลุ้ม นกอีลุ้มจึงหันไปหลบ ซุกซ่อนอยู่ในรอบเท้าโค เหยี่ยวบินโผลงมาปะทะมูลดินแห้งกับรอยเท้าโค อกแตกตาย
ในกาลสมัยหนึ่ง พระจันทร์มีความกำเริบเพราะเหตุที่ทำพิธีราชสูระสำเร็จ จึงไปลอบลักพานางดารา ผู้ซึ่งเป็นชายาแห่งพระพฤหัสบดีมา ครั้นผัวติดตามไปขอคืน ก็ไม่ยอมให้ ผลสุดท้ายเลยเกิดรบกันใหญ่ ระหว่างพวกเทวดากับเทวดาที่เรียกกันว่า “เทวาสุรสงคราม” ผลของการรบสงบลงด้วยมีพระพรหมมาห้าม และบังคับให้พระจันทร์ส่งนางดาราคืนให้แก่พระพฤหัสบดี แต่ในในระหว่างที่นางดาราได้ไปตกอยู่กับพระจันทร์ จึงได้เสียกับพระจันทร์จนมีครรภ์กับพระจันทร์แล้ว ภายหลังเมื่อประสูติโอรสออกมา คือ พระราหู
ตำนานเรื่องนี้ เป็นเค้ามูลบ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างดาวพระเคราะห์ที่ว่า
พระจันทร์ (๒) กับพระพฤหัสบดี (๕) เป็นศัตรูกัน
ในการพยากรณ์จร มีข้อสังเกตดังนี้
พระจันทร์ (๒) จรมาต้องพระพฤหัสบดี (๕) ว่าจะมีเรื่องให้อกสั่นขวัญแขวนถูกศัตรูปองร้าย ขุ่นแค้นเคืองใจ
พระพฤหัสบดี (๕) จรมาต้องพระจันทร์ (๒) ว่าจะเกิดความใคร่ ความหลงผิดพลาดพลั้งเผลอ ได้ทุกข์เพราะอาหารการกิน มีภัยอันตรายจากการเดินทาง
ตามหลักพยากรณ์
พระพฤหัสสบดี เป็นดาวขนาดใหญ่รองลงมาจากพระอาทิตย์ สร้างขึ้นจากพระฤๅษี ตามธรรมดาพระฤๅษีต้องแก่กล้าไปด้วยวิชาอาคม เวทมนต์ ญาณต่างๆ ดังนั้น พระพฤหัสบดีจึงมีอำนาจอิทธิฤทธิ์และอิทธิพลมาก เป็นเจ้าแห่งศิลปวิทยาการทุกประเภท มีศีลมีธรรมอันสูงส่ง ผู้ใดมีพระพฤหัสบดีกุมลัขณา ถือว่าเป็นโกมุท เกณฑ์มีกลิ่นหอม เป็นที่เคารพบูชาของสมณชีพราหมณ์ทั้งหลาย ดาวพระพฤหัสบดีเสมอด้วยพระอิศวร คือเจ้าแห่งดาวนพเคราะห์ทั้งหลาย มีความรู้ความสามรถชำนาญในทางไสยศาสตร์ ไตรเภทต่าง ๆ กอปรด้วยมีใจเมตตากรุณาปราณี โอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อ สุขุมรอบคอบละเอียดถี่ถ้วน ไม่ให้โทษแก่ผู้ใด เพียงแต่ไม่ช่วยเท่านั้นก็พอแล้ว ถ้าได้เป็นศัตรูกับใครแล้วร้ายกาจนัก ถึงกับวอดวายฉิบหายขายตนทีเดียว
ผู้ที่มีพระพฤหัสบดีเป็นศัตรู นับว่าเคราะห์ร้ายที่สุด ในการดูดวงชาตาการพยากรณ์ทั้งหลาย ก็ต้องดูพระพฤหัสบดีเป็นลักขณาก่อนอื่นเสมอ มิตรของพระพฤหัสบดีก็คือพระอาทิตย์ เพราะเป็นบุตรเขย ส่วนพระอังคาร พระเสาร์ แ ละ ราหู ใน ๓ ดวงนี้ ถ้าไปต้องกันเข้าเมื่อใด เจ้าชาตามักได้รับความเดือดร้อน แต่ได้ไปถูกพระอาทิตย์ พุธ ศุกร์ ก็จัดว่าดีได้ หากไปกับพระจันทร์ ซึ่งเป็นธิดาแล้ว บิดาสั่งสอนธิดาไม่ยอมเชื่อถ้อยคำของบิดา กลับโกรธบิดา ครั้นบิดาลงโทษทัณฑ์ ก็สงสาร เล่นเอาหนาว ๆ ร้อน ๆ ไปทั้งสองฝ่าย ต่างไม่ลงรอยซึ่งกันและกัน ทำให้เจ้าชาตาเข็ดหลาบไปนาน เพราะจะให้โทษก็ไม่เชิง ให้คุณก็ไม่ใช่ กลายเป็นทุกข์ลาภไปเพราะทำให้สุดแสนจะทนทุกข์ทรมานเดือดร้อน กลุ้มใจ เศร้าโศกาหมองศรีไป พฤหัสบดีนี้โบราณาจารย์ถือกันต่าง ๆ มาจนทุกวันนี้ ถือกันว่าเป็นครู เยาวชนผู้เริ่มเข้าโรงเรียนมักจะตั้งต้นไปเข้ากันในวันพฤหัสบดี บูชาครูกันในวันพระพฤหัสนี้ทุกรายไป แม้ในโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งรัฐบาลและราษฎร์ในทุกวันนี้ พอขึ้นปีใหม่หรือเทอมใหม่ มักจะให้เด็กนักเรียนนำดอกไม้ธูปเทียนมาไว้ครูกันเสียครั้งหนึ่งในวันพระพฤหัสบดีนี้ พระพฤหัสบดีนี้เป็นดาวศุภเคราะห์
การใช้สีเครื่องแต่งกาย
แต่งกายพฤหัสบดีล้วนสีเหลือง (เลื่อมปภัสสร) (Light Yellow) ส่งกาญจนประเทืองเทียบแท้ ไพฑูรย์ รัตน์รองเรืองรั้งสฤษดิ์ ผาดผ่าน สังวาลพราวเพ็ชรรัตน์รุ่งเรือง จรัสจรูญ
 บูชาพระวันเกิด
คนใดเกิดวีนพระพฤหัสบดี ควรมีพระพุทธรูปปางทรงประทับนั่งสมาธิ (โพธิบัลลังก์) บูชาจึงจะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองดี
๖. พระศุกร์
พระอิศวรผู้เป็นเจ้า ได้สร้างพระศุกร์ขึ้นจาก คาวี (ในอธิไทยโพธิบาทว์ กล่าวว่า สร้างด้วยนาค “ศุกรนาค แปลงนามอินทร์ชุบขึ้นแฮ” ในหนังสือเคล็ดลับโหราศาสตร์กล่าวว่า สร้างจากพิทยาธร หรือ คนธรรพ์ทั้ง ๓ อย่างนี้ จะสร้างขึ้นด้วยอะไรแน่ ขอให้เป็นการพิสูจน์จากท่านผู้รู้ทั้งหลายคิดเองเถิด) ๒๑ ตัวโดยร่ายพระเวทให้โค ๒๑ ตัวนั้นป่นละเอียด แล้วห่อด้วยผ้าสีน้ำเงินหรือสีคราม (Light indigo Blue) ประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเป็นองค์พระศุกร์เทวาขึ้น มีกายเป็นสีประภัสสร ทรงนิราภรณ์ เลื่อมประภัสสรโอภาส และมีวิมานเป็นสีทอง ทรงโคศุภราช(วัว) เป็นพาหนะ สถิตในอุดรทิศ
ตำนานกล่าวว่า
ในกาลครั้งหนึ่ง พระศุกร์เกิดเป็นรุกขเทวดา พระอังคารเกิดเป็นกบ พระเสาร์เกิดเป็นงู วันหนึ่งงูไล่กบมา กบโดดหนีเข้าอาศัยโพรงไม้ที่รุกขเทวดาอยู่ เทวดาเห็นงูไล่กบมาก็สงสารคิดจะช่วยกบให้พ้นภัยจากงู จึงเข้าขัดขวางและตวาดไล่งูด้วยเสียงอันดัง งูจึงมิอาจไล่กบเข้าไปได้ กบก็รอดจากความตาย
ตำนานเรื่องนี้ เป็นเค้ามูลบ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างดาวพระเคราะห์ที่ว่า
พระอังคาร (๓) กับพระเสาร์ (๗) เป็นศัตรูกัน
พระศุกร์ (๖) กับพระเสาร์ (๗) เป็นศัตรูกัน
พระอังคาร (๓) กับพระศุกร์ (๖) เป็นมิตรกัน
ในการพยากรณ์จร มีข้อสังเกตดังนี้
พระอังคาร (๓) จรมาต้องพระเสาร์ (๗) ว่าจะเกิดการหลงผิดพาตัวไปสูสถานการณ์ลวร้าย เกิดวิวาทบาดหมาง ได้รับความตกใจเพราะภัยมาถึงตน โรคภัยเบียดเบียน
พระเสาร์ (๗) จรมาต้องพระอังคาร (๓) ว่าศัตรูจะให้ร้าย ถูกลักขโมย โจรปล้นทรัพย์ ถูกปองร้าย เขาจะหมายชีวิตตน
พระศุกร์ (๖) จรมาต้องพระเสาร์ (๗) ว่าจะมีผู้มาขัดลาภ เกิดอุปสรรคในสิ่งที่มุ่งหวัง เกิดการทุ่มเถียงทะเลาะวิวาท ทำการใดสำเร็จยาก
พระเสาร์ (๗) จรมาต้องพระศุกร์ (๖) ว่าจะเดือดร้อนเพราะผู้อื่น เกิดเรื่องยุ่งยากในครอบครัว เกิดการทะเลาะวิวาท ความรักไม่ราบรื่น ศัตรูจะเคืองแค้น
พระอังคาร (๓) จรมาต้องพระศุกร์ (๖) ว่าจะได้พึ่งพาอาศัยกันระหว่างมิตรสหายพบคนที่ถูกใจ อิ่มเอิบด้วยความรัก สมปรารถนาในสิ่งที่มุ่งหวัง
พระศุกร์ (๖) จรมาต้องพระอังคาร (๓) ว่าจะได้มิตรที่ดี ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่มีอำนาจ ได้ผู้ใหญ่เป็นที่พึ่ง กิจการงานผ่านพ้นอุปสรรคดำเนินไปได้ด้วยดี
ตามหลักพยากรณ์
พระศุกร์นี้ ตามตำราอื่นหรือโหราจารย์โดยมากกล่าวว่า สร้างจากคาวี (โค) ดังได้กล่าวไว้ที่เชิงบาทแล้ว แต่ตำรานี้อธิบายว่าสร้างจากพิทยาธรหรือคนธรรพ์ อันลักษณะของพิทยาธรนี้ ชาวเรามีใครพบหรือเห็นรูปร่างหน้าตาแม้แต่ประการหนึ่งประการใดเลย นอกจากจะได้อ่านพบในหนังสือต่างๆ ดังนั้น จึงมิใช่มนุษย์หรือเทวดา แต่คงเข้าใจเอาเองว่า เหาะเหินเดินอากาศได้อย่างเทวดา เสพย์นารีผลเป็นภรรยา พิทยาธรผู้หญิงเรียกว่า “พิทยาธรี” ตามปทานุกรมแปลว่า ผู้ทรงวิชา หรือ มิวิชากายสิทธิ์ ฉะนั้น จึงเป็นผู้ชำนาญพระเวทย์ ไม่แพ้พระพฤหัสบดีเท่าใดนัก จะน้อยกว่าที่กำลังญาณเท่านั้น แต่เป็นอาจารย์ของพวกอสูรหรือพวกมานพ จึงเป็นพวกชนิดนักเลง หรือ ฝ่ายพาล ชอบทางกามคุณ จึงถือกันว่าเป็นราคะจริตไปด้วย เป็นพระเจ้าแห่งความรัก ความสวยงาม และ สันติภาพ และทำให้มนุษย์มีนิสัยสุภาพ สงบเสงี่ยม รักสวยรักงาม มัชฌิมา ปฏิปทา ถ้าจะดูโภคสมบัติให้ดูศุกร์ ขอให้สังเกตดูในเรื่องเกษตร ห้องศุกร์ ถ้ามีเสาร์หรือราหูมาอาศัย ก็ทำให้มีอิทธิฤทธิ์ขึ้นได้ ฉะนั้น จึงเป็นที่นับถือของฝ่ายต่ำ หรือ พาล ผู้ใดกุมศุกร์มักมีกามราคะแรง มีเนื้อคู่มากเพราะไม่ค่อยเลือก โวหารการพูดดีมาก มีสัจจธรรมเหมือนกัน และชอบกับดาวพระเคราะห์อื่น ๆ แทบทุกดวงคล้ายกับพุธ ไม่ถือตน ไว้ยศกับผู้ใด เว้นแต่ถ้าใครพาลก่อนจึงจะให้โทษ ฉะนั้น เวลาราหูเสาร์มาถูกก็ให้โทษ ไม่สู้ร้ายแรงนัก ส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระอาทิตย์ก็เป็นกลาง ๆ ที่ร้ายก็มีที่ดีก็มี เพราะว่าพระอาทิตย์ถือยศไว้ตัว นิสัยไม่กินกับศุกร์ แต่ถึงคราวดีก็มีคนกุมศุกร์ ถ้าอาทิตย์ไปเข้าก็ยิ่งทำให้กามราคะแรง ถึงได้ศุกร์ทุกข์เหมือนกัน ชอบในทางกามารมณ์เป็นราคะจริตก็จริง แต่มีศรัทธาจริตรวมอยู่ด้วย พูดถึงดาวในอากาศ ฝ่ายโหราจารย์กล่าวว่า ดาวรุ่งที่ขึ้นตอนเช้ามืดนั้น คือดาวพระศุกร์ มีข้อสังเกตว่า ดาวพระศุกร์รวมกับดาวพระอาทิตย์ในดวงพอเต็มหนุ่มสาวมักได้แต่งงานกันแต่แรกรุ่น ถึงศุกร์กับพระอาทิตย์จะเป็นคู่สมพงศ์ก็ส่งไปตามอิทธิพล หากไปถูกคนเกิดวันอาทิตย์ดังนี้ ให้เห็นผลเป็นคนขี้เหนียว แต่คนอดอยากด้วยกาลกิณีร่วมด้วยกัน ด้วยเหตุที่ให้คุณมากกว่าโทษ ทางโหร จัดเป็นดาวศุภเคราะห์น้อย รองจากพระพฤหัสบดี
การใช้สีเครื่องแต่งกาย
วันศุกร์ประสารจัดระจิตร์ไว้สีน้ำเงิน (Light indigo Blue) พิพิธพัตราส่งสรรพแช งามเงื่อนเตือนเนตร ให้แต่งตังตลึงหลง
บูชาพระวันเกิด
คนใดเกิดในวันศุกร์ ควรมีพระพุทธรูปปางทรงพระรำลักถึงพระธรรม (พระรำพึง) บูชา จะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองดีขึ้น
๗. พระเสาร์
พระอิศวรผู้เป็นเจ้า สร้างพระเสาร์ขึ้นจากพยัคฆ์ ๑๐ ตัว โดยร่ายพระเวทให้เสือนั้นป่นลง แล้วจึงห่อด้วยผ้าสีดำ (Dark Brown Sehia) ประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเป็นองค์พระเสาร์เทวราชขึ้น มีสีกายเป็นสีคล้ำ ทรงรัตนนิลเป็นทิพยอาภรณ์ มีวิมานเป็นสีมรกต ทรงพยัคฆ์ราช (เสือ) เป็นพาหนะ สถิตในหรดีทิศ
ตำนานกล่าวว่า
ในกาลครั้งหนึ่ง พระเสาร์เกิดเป็นนาคราช พระอังคารเกิดเป็นอาลัมพายน์ (หมองู) จับเอาพญานาคไปเที่ยวเร่แสดงให้คนดู ทำให้ได้รับความทุกข์ยากลำบากบอบช้ำแก่ตัวยิ่งนัก ฯลฯ
ตำนานเรื่องนี้ เป็นเค้ามูลบ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างดาวพระเคราะห์ที่ว่า
พระอังคาร (๓) กับพระเสาร์ (๗) เป็นศัตรูกัน
ในการพยากรณ์จร มีข้อสังเกตดังนี้
พระอังคาร (๗) จรมาต้องพระเสาร์ (๗) ว่าจะเกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนถูกควบคุมกักขัง พลัดพรากจากถิ่นฐานที่อยู่อาศัย เดินทางไกลมิดีจะมีอุปสรรคเกิดโทษ
พระเสาร์ (๗) จรมาต้องพระอังคาร (๓) ว่าจะถูกเคืองแค้น ถูกกล่าวหา เกิดการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายการงานที่อยู่อาศัย
ตามหลักการพยากรณ์
พระเสาร์เป็นดาวขนาดใหญ่ รองจากพระพฤหัสบดี และสร้างด้วยเสือ ดังนั้น จึงมีใจดุร้ายดัง พยัคฆ์ราช รักษาเกียรติยศ (อดอยากเยี่ยงอย่างเสือสงวนศักดิ์) ระวังภัยมาก มีในเป็นพาลมีทิฏฐิมานะกล้าหาญ ชอบคบพาล และ นักเลงโต ชอบการตีรันฟันแงต่อสู้ คล้ายพระอังคาร รูปไม่งาม แต่ท่าทางผึ่งผายองอาจ เป็นที่เกรงขามของเหล่าศัตรู ชอบอยู่เพียงเงียบ ๆ ขรึม รักความสันโดษ แก้ตัวคล่องแคล่วว่องไว เอาตัวรอดได้ดี หึงหวง กล้าได้กล้าเสีย ถ้ามียศถาบรรดาศักดิ์ มักข่มเหงผู้น้อย ดุร้าย แต่ผู้เป็นนายรักใคร่ชอบพอ จะทำสิ่งใด ก็รอบคอบ สุขุม ยั่งยืนถาวร สติปัญญาหลักแหลม ไม่ยอมเสียเปรียบใครได้ง่าย ๆ ถ้าเสียเปรียบใครแล้วมักผูกพยาบาทไม่หาย เข้าใจรักษาตัว ตรงไปตรงมา เฉียบขาด เหมาะสมกับเป็นหัวหน้า หรือผู้นำคณะ เป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลมรรยาท นอกจากราหู แล้วก็ไม่ยอมเป็นมิตรกับใคร ยิ่งอังคารด้วยแล้ว เป็นศัตรูกันอย่างออกหน้าออกตา ไม่ใคร่ชอบการศึกษาและการเล่าเรียน แต่มีปฏิภาณดี โกรธง่ายหายเร็ว เป็นเจ้าแห่งการกสิกรรมและอารยธรรม มีความมานะบากบั่นอดทน และบึกบึนเป็นที่หนึ่ง โหราจารย์ชาวฝรั่งและชาวอินเดีย มีความขยาดเกรงกลัวดาวดวงนี้นักหนา โหราจารย์ก็มักพยากรณ์โทษทัณฑ์ทุกข์โศก ฯลฯ ด้วยเสาร์นี้ ได้เป็นกาลกิณีตกในเรือนวินาศน์ ก็พันห่วงไปเทียวพระเสาร์เป็นดาวบาปเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุด
การใช้สีเครื่องแต่งกาย
วันเสาร์ม่วงสีอ่อน (Light Purple) งามเพราเพริศพริ้งอาภรณ์ พิจิตรเฉลาฉลักสุพรรณแฮ นิลมณีรัตน์กลิ้งกรอกน้ำ สล่ำสลัว
บูชาพระวันเกิด
คนเกิดวันเสาร์ ควรจะมีพระพุทธรูปปางพระนาคปรกบูชา จึงจะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองดี
๘. พระราหู
พระอิศวรผู้เป็นเจ้า สร้างพระราหูขึ้นโดยใช้ศีรษะผีโขมด ๑๒ ตัวมาป่นลง แล้วประพรมด้วยน้ำอมฤตก็บังเกิดเป็นองค์พระอสุรินทรเรืองฤทธิ์ (ดำสลัว) (Dark) ทรงทิพยสุวรรณแสงสีใสสะอาด และมีวิมานเป็นสีนิลมีมหาสุบรรณราช(ครุฑ) เป็นพาหนะ สถิตในทิศพายัพ
ตำนานกล่าวว่า
ในอดีตปฐมกาลล่วงมาแล้ว พระอาทิตย์เกิดเป็นพญานาค พระพฤหัสบดีเกิดเป็นพระอินทร์ พระเสาร์เกิดเป็นพญานาค และพระอังคารเกิดเป็นพญาราชสีห์ ดำริห์พร้อมใจกันจะสร้างสระน้ำ ไว้ให้เป็นที่อาศัยแก่มนุษย์ และ เทวดา จึงพากันไปปรึกษาพระราหู พระราหูว่า เราไม่ได้อาศัยน้ำ และ แผ่นดินนั้นด้วย แต่นั้นมา เทวดาทั้ง ๔ ก็เคียดค้นต่อพระราหู ครั้นประชุมกันสร้างมหาสระชื่อว่า “สุรามฤต” เสร็จแล้วก็คิดอ่านช่วยกันรักษา ฝ่ายพระอินทร์ รักษาทางด้านเขาพระสุเมรุ พระยาครุฑรับรักษาทางด้านเขาสตบริภัณฑ์ พระยาราชสีห์รับรักษาทางป่าหิมพานต์ พระยานาครับรักษาทางดานมหาสมุทร อยู่จำเนียรกาลนานมาเกิดพิบัติเหตุวันหนึ่งพญาครุฑไล่จะจกกินพญานาค พญานาคหนีไปพึ่งพระราหู ขอร้องให้ช่วยชีวิต พระราหูเห็นดังนั้น จึงตวาดว่า เหวยครุฑใจบาป เอ็งมาไล่พวกข้าทำไม พญาครุฑตอบว่า นาคนี้เป็นอาหารของเรา พระราหูก็โกรธทะยานเข้าวิ่งไล่ พญาครุฑก็แล่นหนีไปพึ่งพระอินทร์ พระราหูมิอาจไล่เข้าไปได้ ก็หยุดอยู่ และเกิดกระหายน้ำเป็นกำลัง จึงลงไปกินน้ำในสระสุรามฤต พระอินทร์เห็นดังนั้น ก็ขว้างจักรไปถูกกายพระราหูขาดสองท่อน เดชะอำนาจที่ได้ดื่นน้ำสุรามฤต จึงมิตาย
ตามตำนานเรื่องนี้ เป็นเค้ามูลบ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างดาวพระเคราะห์ที่ว่า
พระอาทิตย์ (๑) เป็นศัตรูกับพระเสาร์ (๗) ในบางครั้ง เป็นคู่ธาตุด้วย
พระราหู (๘) เป็นศัตรูกับพระอาทิตย์ (๑)
พระพฤหัสบดี (๕) เป็นศัตรูกับพระราหู (๘)
พระพฤหัสบดี (๕) เป็นศัตรูกับพระเสาร์ (๗)
พระราหู (๘) เป็นมิตรกับพระเสาร์ (๗)
พระพฤหัสบดี (๕) เป็นมิตรกับพระอาทิตย์ (๑)
สำหรับพระอังคาร (๓) ยังมิได้ระบุความสัมพันธ์กับดาวพระเคราะห์อื่นๆ ที่ชัดแจ้งในตำนานเรื่องนี้ แต่ในตำนาน เรื่อง ไม้เกดกับไฟ พระอังคาร (๓) กับพระราหู (๘) เป็นศัตรูกัน และเป็นคู่ธาตุกัน
ในการพยากรณ์จร มีข้อสังเกตดังนี้
พระอาทิตย์ (๑) จรมาต้องพระเสาร์ (๗) ว่าจะมีศัตรูปองร้ายหรือประสบเหตุการณ์ที่น่าหวาดเสียวทำให้เกิดการตระหนกตกใจหรือพลัดพรากจากสถานที่ บุตร คู่ครอง แต่จะได้ที่พึ่ง ได้รับความช่วยเหลือ
พระราหู (๘) จรมาต้องพระอาทิตย์ (๑) ว่าจะถูกขัดขวาง ขับไล่จากถิ่นฐานที่พำนักอาศัย
พระพฤหัสบดี (๕) จรมาต้องพระราหู (๘) ว่าจะเกิดการระส่ำระสายและเจ็บตัว ทรัพย์สินจะเสียหายอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง
พระเสาร์ (๗) จรมาต้องพระราหู (๘) ว่าจะได้พบมิตร แต่มิตรนั้นมักจะนำไปสู่ความยุ่งยากเดือดร้อน
พระอาทิตย์ (๑) จรมาต้องพระพฤหัสบดี (๕) ว่าจะได้มิตรสหายที่มีเกียรติหรือจะได้พึ่งผู้ใหญ่ เหตุร้ายจะกลายเป็นดีในระยะนั้น
เรื่องไม้เกดกับไฟ
กาลครั้งหนึ่ง พระอังคารเกิดเป็นไม้เกดในป่า พระราหูเกิดเป็นไฟ อยู่มาวันหนึ่งไฟได้ไหม้ใบไม้แห้งและลามมาเผาต้นไม้เกดจนไหม้เกรียม
ตามตำนานเรื่องนี้ เป็นเค้ามูลบ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างดาวพระเคราะห์ที่ว่า
พระอังคาร (๓) กับพระราหู (๘) เป็นศัตรูกัน
ในการพยากรณ์จร มีข้อสังเกตดังนี้
พระอังคาร (๓) จรมาต้องพระราหู (๘) หรือพระราหู (๘) จรมาต้องพระอังคาร (๓) ว่าให้ระวังอัคคีภัย อันตรายจากการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล ยานพาหนะ ศัตรู ทำให้เกิดผลร้าย เกิดคดีความ สุขภาพบกพร่อง
ตามหลักพยากรณ์
พระราหูสร้างด้วยศีรษะผีโขมดป่า ดังนั้น นิสัยจึงเป็นผี คือ ชอบกินเครื่องเซ่น เช่นกุ้งพร่า ของยำ และ อาหารชนิดสุก ๆ ดิบ ๆ นอกนั้นยังชอบเครื่องดื่มมึนเมาทุกชนิด เช่น กัญชา ยาฝิ่น เป็นต้น นิสัยคล้ายคลึงกับพระเสาร์ โหราจารย์บางคนใช้พระเสาร์พยากรณ์แทนก็มี ซึ่งไม่ใคร่ผิดจากกันเท่าใดนัก พระราหูเป็นสหายรักสนิทกับเสาร์ และนอกจากเสาร์แล้ว ราหูไม่ยอมคบหาสมาคมกับพวกดาวพระเคราะห์ใด ๆ เลย มีนิสัยชอบยอชอบสรรเสริญ ชอบฟังเสียงที่เพราะเสนาะหู เช่น ดนตรี และความรื่นเริงบันเทิงใจเป็นที่สุด โกรธง่ายหายเร็ว ใจคอบึกบึน องอาจ กล้าหาญ ไม่เกรงกลัวสิ่งใด แต่ถ้ายอมกลัวแล้ว ก็ยอมอย่างราบคาบจริง ๆ ชอบผจญภัย เป็นประมุขของเหล่าพาล ขึ้นชื่อนักเลงแล้วเป็นของราหูทุกชนิด ลงได้รักก็รักจนหลง ลงได้เกลียดใครก็เกลียดไม่รู้หาย ทำนองพวกอสุรยักษ์ ตามพยากรณ์บางแห่งเรียกอสุราก็มี ถือว่าเป็นยักษ์เอาทีเดียว ตามอิทธิฤทธิ์ของดวงดาว ถือว่าราหูคือธาตุลมพายุ มีลักษณะร้ายแรง สิ่งใดที่กีดขวางต้องวินาศไปหมด ถ้าราหูให้ร้ายแม้จะกำเนิดในตระกูลเศรษฐีอันอุดมไปด้วยทรัพย์ ก็ล้างผลาญเสียมิให้เหลือหลอ แม้นราหูจะเป็นตัวดี หากกุมลักขณาก็ยังข่มขี่ให้ซวดเซไปในอารมณ์แปลก ๆ ได้ ราหูเมื่อผลาญได้เท่าใด ก็อาจสามรถที่จะช่วยทำคุณให้รวดเร็วดุจกัน ดังคำกล่าวว่า “ให้คุณอนันต์โทษมหันต์” สามารถช่วยตนเอง แล้วยังช่วยผู้อื่นได้ด้วย
อนึ่งราหูนี้ ตามตำนานกล่าวว่า เคยไปลักน้ำทิพย์กิน ถูกขว้างด้วยจักรตัวขาดครึ่งท่อน อาศัยที่ได้กินน้ำทิพย์ จึงมิตาย ฉะนั้นราหูจึงมักมีโรคประจำท้องเสมอ ตามมหาทักษากล่าวว่า เมื่อราหูเสวยอายุนั้นร้ายกาจนัก เท่าที่ได้สังเกต มักป่วยตั้งแต่สะดือลงมาถึงหัวเข่าในร่มผ้า มักจะเป็นโทษของราหูดุจกัน ไม่รู้จักอาย และเกรงใจใคร คือความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ เจ้าโวหารเล่นลิ้นผิดผันด้วย ถ้าหากราหูนำหน้าลัคขณาแล้วมีเสาร์ตามหลัง หรือมีเสาร์ตามหน้าราหูตามหลังแล้ว ใน ๒ ประการนี้มีแก่ผู้ใด ผู้นั้นมักมีนิสัยกล้าหาญ ไม่เกรงกลัวอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งความตาย ตัวอย่างเช่น ในดวงพระราชสมภพของสมเด็จพระนเรศวรของเราทำนองนี้ ยอมปล้นค่ายอย่างทหาร เอาพระชนม์ชีพเข้าแลก จนประสบชัยชนะ แต่ถ้าเสาร์ราหูเล็งกันแล้ว เจ้าชาตามักตายด้วยอาการรวดเร็ว แม้เจ้าชาตาจะสูงอายุ ราหูก็ยังทรงอำนาจ แม้จะเป็นดาวพระเคราะห์ที่ต่ำกว่าดาวทั้งหลาย แต่ก็เป็นที่เกรงกลัวของหมู่ดาวสูงสุด เพราะความเป็นพาลของพระราหู และมีดีอีกอย่างหนึ่งของราหูคือไม่เบียดเบียนข่มเหงผู้น้อยที่ยอมเกรงกลัว หรือผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ ถ้าเป็นหัวหน้า พวกบริวารก็มีความยำเกรง รักใคร่นับถือเป็นที่พึ่งได้อย่างดี ถ้าเป็นนายทหารชั้นผู้บังคับบัญชา ย่อมเป็นที่รักใคร่นับถือของบรรดาผู้อยู่ใต้อำนาจ เพราะไม่ถือตนไว้ยศ มีทรัพย์ก็ไม่ยึดถาวร เพราไม่ตระหนี่ ทำอะไรใหญ่โตมโหฬาร คิดใหญ่ใฝ่สูง แต่ไม่ยั่งยืนถาวร ทำคุณให้แก่ใครไม่ขึ้นก็ชอบทำ เพราะเห็นเป็นของสนุก เวลาราหูมีอิทธิฤทธิ์แข็งกล้า พฤหัสบดีอยู่สูงก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องพ่ายแพ้แก่ฝ่ายต่ำในบางเวลาเช่นเดียวกัน
อนึ่งราหูนี้ไม่มีเรือนชาตาที่อยู่ ต้องไปอาศัยเรือนเสาร์ในราศีกุมภ์เป็นเรือนครอง และไปอยู่ในราศีตุลย์ เป็นราชาโชค อุจจาวิลาศในเรือนศุกร์กับราศีเมถุน เป็นปกิณกะโชคในเรือนพุธ เพราะใน ๓ ราศีนี้เป็นธาตุลม ราหูอาศัยได้ ฉะนั้น ราหูจึงเป็นเจ้าแห่งความดุร้ายเก่งกาจในเรือนเสาร์ เป็นอาจารย์และแรงกามคุณในเรือนศุกร์ เจ้าโวหารพลิกแพลงในเรือนพุธ ดาวราหูนี้ เป็นดาวสำคัญในการพยากรณ์ที่เต็มไปด้วยอำนาจตามตำราโบราณ แต่งเป็นกลอนทำนายไว้ว่า “ราหูมาต้องลักขณา แม้สูงศักดิ์สุราลัยจะจากยศไกร วิบากใจไฟเผาผลาญ” ในโชคเทวฤทธิ์ก็ว่า “อสุรินทร์ทับลักขณาในบาปเคราะห์ จรไปเข้าทับกันทั้งจันทร์มาต้องลักขณา ท่านทายตัดชีวาถึงอาสัญ” ที่ร้ายก็ร้ายเอามากดังนี้
 ถ้าจะถึงฝ่ายดีก็ดีเลิศ เช่น ตำราว่าพฤหัสบดี เสาร์ ราหู ทั้ง ๓ หมู่มาเป็นศิริต้องลักขณา วัตะสังคี มีบริวารเหลือหลาย ลูกไพร่นักเป็นนาย แม้เชื้อสายจะครองเมือง เวลาดี และร้ายเทียบเสมอ พฤหัสบดี ได้ในด้านตรงข้าม
อนึ่งตำนานของอินเดีย กล่าวว่า ราหูนี้เป็นหมุดจุดสกัดของโลก อยู่ตรงข้ามกับดาวพระเกตุ มีลูกเป็นดาวหางหรือผีพุ่งใต้ ราหูนี้มี ๒ ตอน คือ เมื่อขาดโดยถูกจักรของพระอินทร์แล้ว คงเป็นดาวตอนหนึ่งมาเป็นโลกพิภพ คือ โลกที่เราอยู่ตอนหนึ่ง โหรฮินดูเกรงขามราหูไม่น้อยกว่าเสาร์ ส่วนโหรฝรั่งไม่สู้กลัวราหู แต่กลัวเกตุ ซึ่งเป็นท่อนหางมากกว่า อย่างฮินดูกล่าวว่า ถ้าหางไปฟาดอะไรเข้า จะทำให้สิ่งนั้นวอดวายเสียหาย ส่วนท่อนหัว ซึ่งเป็นพิภพนี้ กระทำความเที่ยงไม่มีในโลก โดยจิตใจของมนุษย์ย่อมหวั่นไหวมัวเมาไปด้วยอำนาจ ของธาตุราหู
ในการยกเอาราหูขึ้นมาพยากรณ์มากกว่าดาวนพเคราะห์อื่น ก็เพราะว่าราหูแม้จะจรในจักรราศี ก็ไม่เหมือนดาวต่างๆ คือ เดินย้อนพวกดาวอื่น และเกตุก็เดินย้อนเช่นเดียวกันกับราหู จึงถือกันว่า หัวกับหางไปด้วยกัน และเป็นดาวบาปเคราะห์
พระบูชาวันเกิด
คนที่เกิดวันพุธกลางคืน
ควรมีพระพุทธรูปปางเสด็จประทับในป่าปาริเลยยถะ (ป่าเลไลย) บูชา จึงจะมีความสุขความรุ่งเรืองดี

ปีเกิดสิบสองนักษัตร


ปีเกิดสิบสองนักษัตร
ปีชวด ธาตุน้ำ
ผู้ที่เกิดปีชวด มีปฏิภาณไหวพริบดีมาก ฉลาดและมีความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์ดี ทำสิ่งใดมักนำหน้าผู้อื่น แต่อาจได้ประโยชน์น้อย มีสมบัติก็รักษาได้บ้าง พบอุปสรรค ในชีวิตต้องบากบั่น เพื่อสร้างความเจริญก้าวหน้าจึงจะสำเร็จได้ ชื่อเสียงจึงจะค่อยๆ ดีขึ้น ควรระวังเรื่องการเดินทาง
ปีฉลู ธาตุดิน
ผู้ที่เกิดปีฉลู เป็นคนซื่อ บากบั่นอดทน ยึดมั่นในเกียรติ มีความมานะต่อสู้ไม่กลัวอุปสรรค ก่อร่างสร้างตัวโดยไม่พึ่งพาคนอื่น ไม่ค่อยมีญาติอุปถัมภ์ มิตรสหายมีมากมาย แต่ก็หาคนรู้ใจได้ยาก แล้วจะสงบสุขในปั้นปลายชีวิต มีคนยอมรับนับถือ ต้องบากบั้นจึงจะได้ดี
ปีขาล ธาตุไม้
ผู้ที่เกิดปีขาล เป็นผู้มีอุปนิสัยเข็มแข็ง มีพลังสร้างสรรค์ ชอบเข้าไปยุ่งเรื่องไม่เป็นธรรม มีจุดเด่นคือ เมื่อพลาดพลั้งล้มเหลวจะสามารถตั้งตัวได้เป็นผลสำเร็จมีชื่อเสียงเกียรติยศมาก ทำสิ่งใดควรตรวจตราด้วยตัวเอง พึ่งพาผู้ใดไม่ได้และมีเรื่องกลุ้มใจภายในบ้าน อันเกิดจากความไม่ไตร่ตรองของตนเอง
ปีเถาะ ธาตุไม้
ผู้ที่เกิดปีเถาะ เป็นคนชอบความสบาย ไม่สนใจงานหนัก เหมาะกับงานศิลปะ หรืองานฝีมือ เรื่องธุรกิจแจ่มใสดี พูดจาเก่ง สมาคมกว้างขวาง ควรระมัดระวังการใช้จ่าย ก่อสร้างตัวค่อนข้างลำบาก แต่ครอบครัวก็มีความสุขดี
ปีมะโรง ธาตุทอง
ผู้ที่เกิดปีมะโรง มีตำแหน่งสูงส่งเป็นผู้มีความเมตตา สร้างด้วยสองมือเปล่า จากน้อยไปหามาก ถ้ามีปฏิภาณไหวพริบดีจะก้าวหน้ามากกว่านี้ เป็นคนที่คอยส่งเสริมมิตร แต่ในเรื่องครอบครัวหากเจ้าชู้จะมีความยุ่งยากสับสน ควรระวังการใช้จ่าย ก่อร้างสร้างตัวค่อนข้างลำบาก แต่ครอบครัวก็มีความสุขดี
ปีมะเส็ง ธาตุไฟ
ผู้ที่เกิดปีมะเส็ง มีความสามารถในการจัดระเบียบแบบแผน ชอบใช้สมองมากกว่ากำลัง มีไหวพริบมากกว่าคนอื่น มีน้ำใจและคุณธรรม ผู้คนชอบคบหาสมาคมด้วย แต่ให้ระวังคนถ่อย เหมาะแก่งานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ เป็นคนทำงานหนัก จะมีความสุขได้เมื่อปั้นปลายชีวิต
ปีมะเมีย ธาตุไฟ
ผู้ที่เกิดปีมะเมีย มีอุดมการณ์กว้างไกล ทำงานเหน็ดเหนื่อย พักผ่อนน้อย พูดจริงทำจริง ไม่ยอดล้าหลังผู้อื่น มีพลังมานะ ความเจ้าชู้นำเรื่องเดือดร้อนมาสู่ตัว คบญาติมิตรไม่สมหวัง บั้นปลายจะมั่งมีศรีสุข จะพบโอกาสทองที่คาดไม่ถึง แต่ต้องรอคอย
ปีมะแม ธาตุทอง
ผู้ที่เกิดปีมะแม มีความบากบั่นต่อสู้ ทะเยอะทะยานในด้านการค้า แต่น่าเสียดายต้องต่อสู้กับอุปสรรคมากจึงจะสำเร็จ เป็นคนใจกว้าง ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ญาติมิตรไม่สนับสนุน ชีวิตครอบครัวราบรื่นดี เหมาะสำหรับมีอาชีพทำโรงงาน ก่อสร้าง ค้าโลหะ บั้นปลายชีวิตจึงจะมีชื่อเสียงเกียรติยศ
ปีวอก ธาตุเหล็ก
ผู้ที่เกิดปีวอก เป็นคนหัวดีมีอุบายรับผิดชอบงานสำคัญได้ ยืนยงคงกระพัน เหมือนตุ๊กตาล้มลุกไม่มีวันถูกโค่น สมองปราดเปรื่องไม่ล่วงเกินผู้อื่น ชอบคบค้าสมาคม ครอบครัวมีความสุขตามมาตรฐานเหมาะกับงานอุสาหกรรม ดวงดาวกำลังรุ่งมาก อุปสรรคเล็กน้อยไม่เกิดปัญหา งานสำเร็จด้วยจิตใจที่อดทน
ปีระกา ธาตุเหล็ก
ผู้ที่เกิดปีระกา มีความขยันหมั่นเพียร ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเพื่อพิทักษ์ความเป็นธรรม ไม่ชอบอยู่เฉย วาจาเรียบร้อย ยึดมั่นในวาจาสัตย์ ถ้าเจ้าชู้จะมีปัญหาครอบครัว เหมาะสำหรับเป็นผู้นำ เพราะสายตามองการณ์ไกล และจะบรรลุเป้าหมายสมความปรารถนาด้วย
ปีจอ ธาตุดิน
ผู้ที่เกิดปีจอ ว่องไวมีไหวพริบได้ทั้งรุกและรับ จิตใจกล้าหาญขยันหมั่นเพียร จะเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก สร้างฐานะได้ดีเมื่อวัยกลางคน เหตุร้ายที่ประสบจะแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องดี เบื้องบนคบหาผู้มีอิทธิพล เบื้องล่างก็เข้ากับผู้อื่นได้ดี ขวนขวายในดานสุจริต แสวงหาความก้าวหน้า การงานเจริญรุ่งเรือง
ปีกุน ธาตุน้ำ
ผู้ที่เกิดปีกุน มีความสุขสมบูรณ์ดี ข้อเสียคือไม่เสมอต้นเสมอปลาย ต้องขยันขันแข็ง ขวนขายอย่างไม่ลดละ จึงได้ตำแหน่งดี ไม่มีมรดก มิตรดีก็มีน้อย คบคนไม่ดีญาติไม่ส่งเสริม ทำงานก่อสร้าง ไม่ถูกกับธุรกิจบันเทิง วัยกลางคนยังไม่ร่ำรวยแต่จะมีมากในวัยชรา มีความสนุกสุขใจเมื่อได้ทำงาน

คู่สมพงษ์ คู่อริ ปีนักษัตร


คู่สมพงษ์ คู่อริ ปีนักษัตร
ปีมะเมีย - ปีชวด
มะเมียชวดไม่ถูกกันนั้นทุกอย่าง ผัวเมียต่างมีแต่ร้ายกล้ำกรายสู่ มากแต่เรื่องมากลูกมากศัตรู เงินนั้นดูมีน้อยมักเป็นความ จิตใจนั้นปั่นป่วนกวนโทสะ หมดทางจะทำอะไรให้วาบหวาม ยิ่งนานวันเดือนปียิ่งจะพาล หมดทนทานหมดเมตตาพาปีนเกลียว
ปีฉลู - ปีมะแม
ปีฉลูคู่มะแมแต่ไม่ชอบ ผัวเมียตอบแทนกันด้วยโทโส ไม่รักใคร่แต่สัตย์ซื่อถือเมตตา จะเข่นฆ่าวันยังค่ำให้ช้ำใจ ดีกันน้อยโกรธกันมากหากนอนเตียง เหมือนบนเตียงมีเขาใหญ่มาขวางกั้น แม้จะอยู่คนละทิศไม่ชิดกัน แต่เงินนั้นก็ยังให้ใช้ไปมา
ปีวอก - ปีขาล
ปีวอกคู่ปีขาลพาลหาเรื่อง ผัวเมียรักเปลี่ยนเป็นแค้นอยู่เนือง ถึงไม่เคืองต่างก็บ่นจะแยกทาง หญิงบอกว่าจะหาใหม่ให้ดีกว่า ชายก็ว่าจะหาคู่ใหม่สู่สม ถ้าหญิงใหม่ไม่บริสุทธิ์ยิ่งตรอมตรม หมดนิยมการงานสะท้านใจ
ปีระกา - ปีเถาะ
ปีระกากับปีเถาะไม่เหมาะสม จะเกลียวกลมกันได้ นั้นอย่าหมาย เพราะต่างคิดจิตไม่ตรงต่างหัวใจ ทุกวันให้มีปากเสียงถียงยอนยี่ ทำกิจการทุกอย่างไม่สมนึก ให้รู้สึกโกรธขึงด่าว่าโน่นนี้ แม้จะเปลี่ยนคู่ที่ร้ายให้กลายดี เลือกวันปี เวลาหมั้นกันใหม่เอย
ปีมะโรง - ปีจอ
มะโรงจอพอจะรู้คู่ไม่เหมาะ แต่จำเพาะบางที่ก็ดีได้ การเงินนั้นรั่วไหลจ่ายหมดไป แต่ก็ได้เงินมาพาเช่นเคย แต่บางครั้งผัวเมียคลอเคลียอยู่ เพียงชั่วครู่ก็บาดหมางดั่งเฉลย ถ้าตอนหนุ่มขัดกันเจริญเอย แม้ล่วงเลยขัดตอนแก่จะแน่นอน
ปีมะเส็ง - ปีกุน
ปีมะเส็งกับปีกุนบุญไม่ถึง ต่างโกรธเคืองเรื่องมากมีปากเสียง หญิงชอบบ่นชายชอบติมิอยู่เคียง ต่างชอบเถียงมีแต่ทุกข์มากความ อันน้ำไฟเย็นและร้อนเป็นอริ ผัวเมียมิถูกกันต่างมิขาม ต้องมาแก้จึงจะได้ให้ทำตาม เพื่อดับความทุกข์ยากมากเรื่องเอย
ปีชวด - ปีฉลู
ปีชวดกับฉลูคู่กันนี้ เป็นคู่ที่เหมาะสม กลมเกลียวยิ่ง ถึงจะอยู่ต่างแดนแสนไกลจริง ความรักยิ่งแน่นแฟ้นแสนสุขใจ เลือกฤกษ์งามยามดี แล้วแต่งงาน จะสำราญสุขโข ภิญโญใหญ่ จะมีลาภเกียรติยศในวันใด ก็จะได้สมจิตรที่คิดปอง
ปีขาล - ปีกุน
ปีขาลอยู่คู่ปีกุน ดีนักหนา ชายปัญญา หญิงสวยช่วยอุ้มสม ต่างก็ได้พึ่งกันต่างนิยม ความรักกลมเกลียวอยู่คู่กันนาน แม้ชายขาล หญิงกุนยิ่งดีนัก ถึงหญิงจักปีขาลก็เหมาะสม จะร่วมรักร่วมอยู่ เป็นคู่ชม จวบสิ้นลม แก่เฒ่าชีวาวาย
ปีจอ - ปีเถาะ
ปีจอคู่ปีเถาะดีจริงหนอ ซึ่งต่างก็รักมั่นสมกันยิ่ง ชายปัญญา หญิงนั้นสวยด้วยรักจริง ได้แอบอิงรักอยู่เป็นคู่ใจ ทรัพย์สมบัติสะสมไว้เก็บได้อยู่ ไม่มีรูรั่วไหลไปไหนได้ จะมีแต่เพิ่มพูลเหมือนดั่งใจ จะมากมายด้วยลูกหลานชูตระกูล
ปีระกา - ปีมะโรง
ระกาอยู่คู่มะโรงช่างดีเหลือ ต่างก็เชื่อผัวนำเมียตามหลัง เป็นเนื้อคู่รักสนิทจิตรจริงจัง จะได้ทั้งยศลาภคนยำเกรง ถ้าแม้นมีบุตรด้วยยิ่งช่วยเสริม ก็จะเพิ่มวงศ์ตระกูลและชื่อเสียง ผัวก็สวย เมียก็งามตามอยู่เคียง ไม่ลำเอียงทั้งคู่อยู่ยืนยง
ปีวอก - ปีมะเส็ง
วอกมะเส็งคู่ครองก็ต้องจิตร เหมือนความรัก หนักแน่นเท่าแผ่นผา อยู่ร่วมแรกก็ขัดสนจนปัญญา แต่ต่อมากลางคนก็เริ่มรวย พอแก่เฒ่าก็คอยรับแต่ทรัพย์สิน เป็นคู่ทุกข์คู่ยากอยู่ร่วมกัน จวบจนสิ้นชีพสลายชีวาวาย
ปีมะเมีย - ปีมะแม
ปีมะเมียกับมะแมแน่นอนนัก คู่นี้จักสมกันดั่งเดือนฉาย เหมือนสุริยันคู่จันทรามิกลับกลาย ฟ้าดินหมายให้อยู่เป็นคู่กัน แม้นคู่นี้มีบุตรบุตรก็เก่ง ทั้งลาภยศมาเองเหมือนใจหมาย ถึงจะมีปากเสียงเพียงประปราย ใช่จิตรคลายเถียงเพื่อเอื้ออารี

นวางค์


นวางค์ ๑     
ใจเร็ว ใจร้อน เป็นนักวิ่งเร็ว คิดเร็ว ความจำดี เล็กๆ เลี้ยงยาก ต่อไปภายหลังจะดีเชื่อมั่นตนเอง ทิฐิ หยิ่งในศักดิ์ศรี
นวางค์ ๒    
เป็นคนโลเล รักง่ายหน่ายเร็ว ย่อมเลี้ยงตัวได้ด้วยศิลปะวิทยาการ มีเสน่ห์ทางตากและ ทางผิวหนัง แต่ชอบช่วยเหลือคนใจอ่อนไม่หนักแน่น
นวางค์ ๓     
เป็นบุคคลที่ใจร้อน ใจเร็ว บางคราวอาจฆ่าสัตว์ตัดชีวิตได้ โกรธง่าย หายไว จบแล้ว จบเลยไม่ผูกใจเจ็บ
นวางค์ ๔    
ชอบเจรจาซื้อขายด้วยโวหารมากกว่าการกระทำ ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย มักยอม เสียโอกาสบางอย่าง เพื่อแลกกับสิ่งที่ดีกว่า
นวางค์ ๕   
มักเลี้ยงตัวด้วยวิชาการ เช่น เป็นครูบาอาจารย์ และเป็นผู้ฉลาดในการรณรงค์สงคราม เป็นที่รัก และยกย่องของนักปราชญ์ทั่วไป เป็นเพื่อนฝูงกับท้าวพระยา มีคุณธรรม รู้จักให้อภัยคน ใฝ่ดี
นวางค์ ๖      ชอบเลี้ยงตัวด้วยศิลปะการช่าง สถาปนิก สถาปัตย์ ออกแบบออกแปลน และการตัดผม ดัดผม เป็นแพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง ด้านจิตใจอ่อนไหว ขี้งอน น้อยใจเก่ง
นวางค์ ๗  
เลี้ยงตัวด้วยกำลังวังชา เช่น เป็นนักต่อสู้ จิตใจกล้าหาญ รู้จักกตัญญูพ่อแม่ และผู้มีพระคุณ แต่ถ้าเกลียด จะจำฝั่งใจ มีความอาฆาตแรงพยาบาทแรงได้เหมือนกัน

ความหมายของฤกษ์


ความหมายของฤกษ์
๑ ทลิทโทฤกษ์   
แปลว่า    ยากจน ได้แก่ ฤกษ์ที่ ๑, ๑๐, ๑๙ ผู้มีลัคนาเสวยฤกษ์นี้ มักจะเป็นผู้ลำบาก ยากจน เว้นแต่มีดาวในดวงที่ดี กลายเป็นคนขี้ขอ มักทำงานหนัก งานต่ำที่ลำบาก ลำบากแต่เล็กๆ
๒ มหัทธนะโนฤกษ์
แปลว่า    มั่งคั่ง ได้แก่ฤกษ์ที่ ๒, ๑๑, ๒๐ บุคคลผู้ที่มีลัคนาเสวยฤกษ์นี้มักเป็นเศรษฐี ผู้มีทรัพย์
๓ โจโรฤกษ์      
แปลว่า    โจร ได้แก่ ฤกษ์ที่ ๓, ๑๒, ๒๑ บุคคลผู้มีลัคนาเสวยฤกษ์นี้มักเป็นโจร ถ้ามีดี ก็กลายเป็นคนว่องไว เอาเปรียบ ชอบความเด็ดขาด ชอบสิ่งแอบแฝง ถ้าเป็นตำรวจ ก็เป็นตำรวจโจร เที่ยวไถเงินชาวบ้าน
 ภูมิปาโลฤกษ์
แปลว่า    ผู้รักษาแผ่นดิน ได้แก่ฤกษ์ ที่ ๔, ๑๓, ๒๒ บุคคลผู้มีลักคนาเสวยฤกษ์นี้ โดยมากเป็นนักปกครอง นักรัฐศาสตร์ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ข้าหลวง หรือผู้ว่าราชการจังหวัด ตำรวจปกครองท้องที่ นายอำเภอ ฯลฯ
๕ เทศาตรีฤกษ์
แปลว่า    สัญจร ได้แก่ฤกษ์ ที่ ๕, ๑๒, ๒๓ บุคคล ผู้มีลัคนาเสวยฤกษ์นี้มักเป็นหญิงงามเมือง ถ้ามีดาวดีในดวงชะตาช่วยได้บ้าง แต่เป็นแบบชั้นสูงหน่อย ถ้าดวงชะตาชายมักจะต้องเจ็บป่วยด้วยโรคผู้หญิง
๖ เทวีฤกษ์       
แปลว่า    ราชินี ได้แก่ฤกษ์ ที่ ๖, ๑๕, ๒๔ บุคคลผู้มีลัคนาเสวยฤกษ์นี้ มักเป็นหญิงมียศศักดิ์ รูปร่างสวยสะอาด เจ้าระเบียบ รักสวยรักงาม ชอบทำอะไรไม่เหมือนคนอื่น ถ้าเป็นชายมักคล้ายหญิง
๗ เพชฌฆาตฤกษ์
แปลว่า    ผู้ประหารนักโทษ ได้แก่ฤกษ์ที่ ๗, ๑๖, ๒๕ บุคคลที่มีลัคนาเสวยฤกษ์นี้มักเป็นทหาร ตำรวจ ใจคอหนักแน่น ดุร้าย ฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น และมียศศักดิสูง
๘ ราชาฤกษ์    
แปลว่า    พระราชา ได้แก่ฤกษ์ที่ ๘, ๑๗, ๒๖ บุคคลที่มีลัคนาเสวยฤกษ์นี้ มักเป็นคนชอบใหญ่โต อวดเบ่ง ชอบยศศักดิ์ แต่เจ้านายรักใคร่
๙ สมโณฤกษ์  
แปลว่า    ผู้สงบ ได้แก่ฤกษ์ที่ ๙, ๑๘, ๒๗ บุคคลที่มีลัคนาเสวยฤกษ์นี้ มักเป็นผู้สมถะ รักสงบ เหมาะสำหรับ นักบวช นักพรต จะมีความสุขและมีโชคลาภดี แต่ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา มักหาทรัพย์ยาก

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

เพลงโหราศาสตร์

เพลงโหราศาสตร์
คำร้อง - ทำนอง                                                                 อ. ณุ บูรพา
           
     อาทิตย์กำเนิดสุริยะจักรวาล       เป็นสายธารช้างเผือก     ส่องแสงกำเนิดสุริยันจันทรา      กำเนิดมาก่อเกื้อ    พลังดวงดาวส่องพลังจักรวาล   ดาวพระเคราห์มากมาย     เรียงรายโคจรเกื้อหนุนกันไป  ส่องพลังกำเนิด   พุธ ศุกร์   โลก   อังคาร   พฤหัส    เสาร์  ราหู   เกตุ  มฤตยู  สุดเขตรอบขอบจักรวาล  อนันตจักรวาล
            * พลังดวงดาวส่องพลังชีวิต     เป็นเข็มทิศบอกทาง  โหราศาสตร์ของโหราจารย์   ประสานประสาทวิชา  ส่องนำทางให้ผู้คนเลือกเดิน    แล้วแต่ตนเลือกเอง   ชี้ทางชีวิตลิขิตบรรเลง   เป็นบทเพลงชีวิต
 ( พูด )  ตนุ กดุมภะ สหัสชะ  พันธุ  ปุตะ อริ ปัตนี  มรณะ   ศุกภะ   กัมมะ  ลาภะ  วินาท
( * )

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

ความหมายของโหราศาสตร์

ความหมายของโหราศาสตร์

คำว่า โหรา มาจากภาษาสันสกฤตว่า โหราตร์ตรงกับภาษามคธว่า อโหริตถะแปลว่า วันกับคืน หรือ ๒๔ ชั่วโมง

โหราศาสตร์คืออะไร

โหราศาสตร์ แปลว่าวิชาที่ว่าด้วยโมงยาม ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับดาว ธาตุ และโลก เป็นวิชาที่มีหลักเกณฑ์การคำนวณและแรงดึงดูดของกระแสธาตุหรือกำลังของดวงดาวในจักรวาล โหราศาสตร์ยังเป็นวิชาที่กล่าวถึงพลังอำนาจหรืออิทธิพลของดวงดาวที่มีต่อโลกมนุษย์ เกิดการรวมตัวกันทำให้มีผลกระทบโดยตรงต่อสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายในโลกมนุษย์ ซึ่ง แสดงเป็นกาลเวลา ความมืด ความสว่าง ความร้อน ความเย็น การดึงดูดพลังงานให้รุ่งโรจน์หรืออัปปางต่อพฤติกรรมของมนุษย์

โหราศาสตร์ยังเป็นวิชาที่ตั้งอยู่บนฐานของสถิติศาสตร์และดาราศาสตร์ ซึ่งโหราศาสตร์ คือ วิทยาศาสตร์ เพราะมีเหตุมีผล มีหลักมีฐาน มีที่มาที่ไป มีสถิติเป็นเครื่องยืนยันรับรอง จากการบันทึกและการจดจำ ซึ่งเล่าต่อกันมาเป็นเวลานานเกี่ยวกับอิทธิพลพลังอำนาจของดวงดาวที่โคจรอยู่บนท้องฟ้า บางกรณีก็ยังใช้เป็นสูตรตายตัวไม่ได้ เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยจากสถิติและความชัดเจนของผู้เป็นโหราศาสตร์นั้นเอง



ประวัติความเป็นมาของโหราศาสตร์

ประวัติความเป็นมาของวิชาโหราศาสตร์ไทย ซึ่งมีมาก่อนพุทธกาล อาจารย์ที่เรียนรู้เรื่องดวงดาวในท้องฟ้าพวกแรกในโลกคือ ดาบสหรือฤาษีที่อาศัยอยู่ในป่าหรือตามถ้ำต่างๆ ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นผู้สำเร็จญาณสมาบัติชั้นสูง สามารถส่งกระแสจิตไปยังดวงดาวต่างๆ และได้สอบถามถึงความเป็นมาของดวงดาวเหล่านั้นและได้มีนิทานปรากฏเล่าต่อกันมา ดวงดาวต่างๆ คือ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู พระเกตุและดาวอื่นๆ มีการโคจรรอบโลกเราและก็มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมา ในสมัยพุทธกาลยังไม่มีอักขระใดๆ บันทึกไว้

ก่อนพุทธกาลพระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญในภพชาติต่างๆ มีอยู่ชาติหนึ่งท่านได้เกิดเป็นดาบส อีกภพหนึ่งได้ไปพบพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งและได้ปรารถนาขอให้ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตข้างหน้าเช่นเดียวกับท่าน และในที่สุดก็ได้ประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติได้ ๗ วัน ก็มีดาบสมาเยี่ยม พอเห็นเจ้าชายก็ก้มกราบและพยากรณ์ว่าท่านต้องได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคตแน่นอน และหนึ่งในหมู่ดาบสนั้นก็มีพระโกณฑัญญะพราหมณ์ด้วย ท่านโกณฑัญญะได้ถวายคำพยากรณ์ว่าเจ้าชายจะไม่ครองราชย์สมบัติ จะเสด็จออกแสวงหาโมขธรรม จนบรรลุเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าและเป็นศาสดาเอกของโลกอย่างแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ส่วนพราหมณ์คนอื่นๆ ถวายเป็น ๒ นัยยะ คือ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลกหรือ ถ้าครองราชย์สมบัติจะได้เป็นพระจักรพรรดิมหาราชเจ้า ปรากฏว่า คำพยากรณ์ของพราหมณ์หนุ่มโกณฑัญญะเป็นคำพยากรณ์ที่แม่นยำตรงความเป็นจริง เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเจริญวัยได้ศึกษาและสำเร็จศิลปวิทยาแขนงต่างๆ รวม ๑๘ วิชา และหนึ่งในนี้คือ วิชาโหราศาสตร์ และแต่วิชาต่างๆ เหล่าน้ไม่ใช่วิชาที่จะสำเร็จธรรมได้

ผู้ศึกษาโหราศาสตร์ส่วนมากมักจะมีการคำนับครูหรือไหว้ครู ครูก็คือรูปปั้นพระฤาษีหรือดาบสและพระโหราจารย์ทั้ง ๕ คือ

๑. พระอัญญาโกณฑัญญะมหาเถระ

๒. พระวังคีสะมหาเถระ

๓. พระอุตมะรามะมหาเถระ

๔. พระอุทุมพรมหาเถระ

๕. พระอุตมะมังคลาจารย์มหาเถระ

ซึ่งท่านเหล่านี้ได้ถ่ายทอดวิชาโหราศาสตร์สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ฉะนั้น เวลาพยากรณ์ดวงชาตามักจะเกิด อุคนิมิตหรือ เกิดญาณสังหรณ์ให้อ่านความหมายของดวงดาวได้อย่างแม่นยำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องงมงายไม่มีเหตุผล แต่เป็นสิ่งที่มีเหตุผลและมีความจริง ซึ่งผู้พยากรณ์มองไม่เห็น ดังนั้น ก่อนจะเริ่มเรียนวิชาโหราศาสตรึงนิยมบูชาครูก่อนเสมอ

โหราศาสตร์เข้าสู่ประเทศไทย

สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีแสนยานุภาพปราบปรามอินเดียตอนใต้ พ.ศ. ๒๐๐ ปีเศษนั้น ได้มีพราหมณ์หนีมาพึ่งอาณาจักรเขมรและต่อมาไทยได้อพยพจากประเทศจีนเพื่อมาตั้งถิ่นฐานในสยามประเทศและก็ได้มีการศึกษาวิชาโหรและลัทธิทางศาสนาพราหมณ์ด้วย หลังจากนั้นมีพระโสณเถระและพระอุตระเถระมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสมัยกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา ซึ่งในสมัยก่อนนั้นได้ยกย่องพราหมณ์ขึ้นเป็นมหาราชครูเพื่อกระทำพิธีการมงคลต่างๆ ครั้ง กรุงศรีอยุธยาถูกไฟเผาผลาญจนหมดสิ้น ต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์พระโหราจารย์ได้รวบรวมตำราขึ้นใหม่ แต่ก็ใช้ในราชสำนักเท่านั้น ประชาชนบุคคลภายนอกไม่มีตำราครบบริบูรณ์ นอกจากเจ้าหน้าที่กรมโหรหรือพระผู้ใหญ่ในยุคนั้นซึ่งเป็นผู้ปรีชาเฉลียวฉลาด จนกระทั่งเจ้าหน้าที่กรมโหรต้องไปมาหาสู่พระผู้ใหญ่กลุ่มนั้นอยู่เสมอ แม้นในภายหลังได้มีการยุบกรมโหร โหราศาสตร์ก็ยังมีผู้สนใจอยู่ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปิดหอพระสมุดแห่งชาติและได้มีประชาชนนำคัมภีร์หรือตำราต่างๆ มามอบให้แก่หอสมุด พร้อมกันนี้ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามายืมอ่านและคัดลอกตำรับตำราต่างๆ ด้วยเหตุนี้ วิชาโหราศาสตร์จึงออกสู่ประชาชนทั่วไปตราบเท่าทุกวันนี้

โหราศาสตร์เป็นวิชาสถิติอย่างไร

โหราศาสตร์เป็นวิชาสถิติเบื้องต้นในแง่ที่ว่าได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นตัวเลขซึ่งแสดงข้อเท็จจริงต่างๆ มีการตีความหมาย วิเคราะห์ การคิดคำนวณเพื่อให้สามารถบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยตัวเลขที่มีความหมายแทนดวงดาวได้อย่างแจ่มชัดและอย่างมีประสิทธิภาพ นับว่าเป็นศาสตร์ที่ใช้ข้อมูลของความสัมพันธ์ของดวงดาวเหล่านั้นมาทำนายเหตุการณ์หรือใช้ประกอบการตัดสินใจภายใต้สภาวการณ์ที่ไม่แน่นอนของอนาคต

วิชาโหราศาสตร์ไม่ใช้วิธีการศึกษาด้วยการคาดคะเนแต่ได้ใช้วิธีการศึกษาด้วยการพินิจพิเคราะห์ทั้งสามกาล คือ อดีตกาล ปัจจุบันกาลและอนาคตกาล การเก็บสถิติดวงชะตาต่างๆ ก็ต้องไม่มีอคติ มิฉะนั้นข้อมูลที่ได้จะไม่ตรงกับความเป็นจริง ความแม่นยำนั้นขึ้นอยู่กับโหรหรือนักโหราศาสตร์หรือนักพยากรณ์แล้วแต่จะเรียก ซึ่งจะเข้าใจวิธีการอ่านดวงชะตาได้มากน้อยแค่ไหน อ่านได้ละเอียดลึกซึ้งแค่ไหน อ่านได้ละเอียดหรือไม่ ถ้าโหรท่านนั้นเห็นดวงชะตาโดยไม่เคยรู้จักเจ้าชาตามาก่อนแต่อ่านได้อย่างแม่นยำยังกับรู้จักกันมาก่อน ระดับความเชื่อถือในการพยากรณ์ก็มีถึง ๙๕% ซึ่งผิดพลาด ๕% เป็นความคลาดเคลื่อนในการทำนายอาจเกิดขึ้นด้วยเหตุ ดังต่อไปนี้

๑. เวลาตกฟากไม่แน่นอน

๒. ผูกดวงผิด

๓. ได้ข้อมูลจากผู้มาให้พยากรณ์ผิด เช่น ไม่บอกทุกสิ่งตามความเป็นจริง

๔. กรรมปัจจุบันมาถึง